ค่าเบาหวาน ปกติเกณฑ์ที่ใช้วัดระดับน้ำตาลในเลือดหรือค่าเบาหวานนั้นจะต้องมีการกำหนดเงื่อนไขอย่างชัดเจนไว้ด้วย ค่าเบาหวานหรือเกณฑ์ระดับน้ำตาลในเลือดที่ใช้กันโดยทั่วไปคือ 126 มก/ดล โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นค่าของระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากที่อดอาหารและน้ำมาไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดโดยที่ไม่ได้อดอาหารและน้ำมาก่อนก็สามารถทำได้แต่เกณฑ์ที่ใช้วัดค่าเบาหวานจะเปลี่ยนเป็น 200 มก/ดล
เกณฑ์ของระดับน้ำตาลในเลือดนี้ ได้จากการวิจัยที่พบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะเกิดอาการของโรคแทรกซ้อนได้เร็วที่สุดคือจอประสาทตาเสื่อมซึ่งจะเกิดที่ระดับน้ำตาลในเลือด 126 มก/ดล สำหรับประเทศไทยสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย สำนักงานประกันสุขภาพถ้วนหน้าและกระทรวงสาธารณสุขตกลงใช้เกณฑ์ระดับน้ำตาลในเลือดที่ 126 มก/ดล เป็นเกณฑ์วัดค่าเบาหวาน
เกณฑ์วัดค่าเบาหวานอีกตัวหนึ่งคือ ระดับน้ำตาลสะสม(HbA1C) หรือฮีโมโกลบินเอวันซีเป็นค่าเฉลี่ยของความเข้มข้นของน้ำตาลในเม็ดเลือดแดงในระยะ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ค่าฮีโมโกลบินเอวันซีนี้มีความเกี่ยวข้องกับค่าเฉลี่ยของระดับน้ำตาลในเลือด กล่าวคือถ้าระดับน้ำตาลสะสมมีค่าสูงขึ้นจะพบว่าค่าเฉลี่ยของระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นด้วย ดังนั้นเกณฑ์วัดค่าเบาหวานอีกตัวหนึ่งที่จะนำมาใช้ได้คือระดับน้ำตาลสะสมนั่นเอง
การหาค่าระดับน้ำตาลสะสมทำได้โดยการเจาะเลือดไปตรวจ(ไม่ต้องงดอาหารและน้ำก่อนเจาะเลือด) ค่าเบาหวานปกติของคนที่ไม่เป็นเบาหวานโดยใช้เกณฑ์ระดับน้ำตาลสะสมในเลือดคือ น้อยกว่า 5.7% สำหรับค่าระดับน้ำตาลสะสมในช่วง 5.7 – 6.4 % กล่าวได้ว่าอยู่ในกลุ่มที่เริ่มเป็นเบาหวาน ส่วนค่าระดับน้ำตาลสะสมที่มากกว่า 6.5 % นั้นกล่าวได้ว่าเป็นโรคเบาหวานแล้ว
ในอนาคตอาจจะมีงานวิจัยชิ้นใหม่ๆ ที่มาเปลี่ยนเกณฑ์วัดค่าเบาหวานให้น้อยลงกว่านี้ ทั้งนี้เพื่อให้เรารู้ตัวล่วงหน้าเพื่อให้โอกาสในการเกิดโรคแทรกซ้อนน้อยที่สุด เพราะโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเช่น จอประสาทตาเสื่อม อัมพฤกษ์-อัมพาต กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ไตเสื่อม แผลเรื้อรัง ฯลฯ เป็นโรคที่อันตรายมาก หากเรารู้ตัวล่วงหน้าจะทำให้เราสามารถหาทางป้องกันและเตรียมรับมือเพื่อให้เกิดผลกระทบกับเราน้อยที่สุดนั่นเอง