อันตรายจากไขมันพอกตับ ก่อนอื่นมาดูกันว่าไขมันพอกตับสาเหตุมาจากอะไร เกิดจากการที่ร่างกายได้รับไขมันมากกว่าปกติส่วนมากจะเกิดจากพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์และกินอาหารที่มีไขมันสูงทำให้เซลส์ตับดูดซึมรับไขมันไว้มากจนตับอ้วนขึ้นโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ตับจะเกิดการอักเสบและเนื้อตับถูกทำลายและเกิดเป็นผังผืดขึ้นในตับ ต่อมาก็จะลุกลามจนทำ “ตับแข็ง” และทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด นั่นคือความอันตรายของไขมันพอกตับ
ไขมันพอกตับอาการและการรักษา ไขมันพอกตับอาการอย่างไรโดยปกติไขมันพอกตับจะไม่มีอาการให้เห็นอย่างเด่นชัดแต่การมีไขมันพอกตับถือว่าเป็นสัญญาณเตือนว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายแล้วหากไม่ดูแลรักษาก็จะค่อยๆ เพิ่มความรุนแรงจนกลายเป็นมะเร็งตับหรือตับแข็งได้ในอนาคต
ไขมันพอกตับตรวจยังไง ไขมันพอกตับดูจากค่าอะไร คนส่วนมากจะรู้ว่าตัวเองเป็น “ไขมันพอกตับ” ตอนตรวจร่างกายประจำปี ซึ่งจะมีการตรวจเลือด ถ้ามีการตรวจเลือดเพื่อดูค่าการทำงานของตับ(Liver Function Test) ก็จะพบว่าตับมีค่าการอักเสบสูงกว่าเกณฑ์ปกติทั้งนี้อาจจะพิจารณาควบคู่ไปกับระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดที่มักจะสูงกว่าปกติด้วย ไขมัน
พอกตับอาจทราบได้ด้วยการตรวจอัลตร้าซาวน์บริเวณช่องท้องที่มักจะพบว่าตับมีขนาดโตขึ้นและสีขาวขึ้น นอกจากนี้วิธีตรวจไขมันพอกตับแบบเฉพาะเจาะจงเลยก็คือการตรวจด้วยเครื่อง FibroScan ที่สามารถประเมินประมาณไขมันสะสมในตับและดูสภาพการเกิดพังผืดในเนื้อตับเพื่อใช้ในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาโดยที่การตรวจด้วยเครื่อง FibroScan จะไม่ได้รับความเจ็บปวดหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งขณะตรวจและหลังการตรวจด้วยเครื่องไฟโบรสแกน.
ระยะของไขมันพอกตับ เริ่มจากระยะแรกที่เริ่มมีไขมันถูกดูดเข้าไปเก็บไว้ในเซสส์ตับ ระยะต่อมาเมื่อไขมันสะสมมากขึ้นก็จะเริ่มมีอาการตับอักเสบและค่อยๆ ลุกลามกินพื้นที่เนื้อตับเข้าไปจนเกิดเป็นพังผืดทำให้ตับเสียสภาพไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติจนเกิดเป็น “ตับแข็ง” แต่สิ่งที่น่ากังวลเกี่ยวกับไขมันพอกตับคือ ภาวะที่มีไขมันพอกตับจนอักเสบอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็น “มะเร็งตับ” มากขึ้น
วิธีรักษาไขมันพอกตับ โรคไขมันพอกตับ (Fatty liver) เป็นโรคที่พบได้มากขึ้นในปัจจุบัน สาเหตุของไขมันพอกตับมักเกิดจากพฤติกรรมการกินอาหารที่มีไขมันมากเป็นระยะเวลานาน ๆ ซึ่งคนที่เริ่มเป็นโรคไขมันพอกตับมักจะไม่มีอาการทำให้พฤติกรรมยังคงดำเนินไปตามที่เคยทำ ไขมันพอกตับยังไม่มียารักษาโดยตรงแต่หากรู้ตัวตั้งแต่ระยะเริ่มเป็นก็ยังมีวิธีลดไขมันพอกตับได้ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำเพื่อลดสาเหตุของโรคไขมันพอกตับโดยปฏิบัติตัวตามนี้คือ 1. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้ทำร้ายตับ 2. ลดน้ำหนัก สำหรับคนที่อ้วนหรือมีค่าดัชนีมวลกาย(BMI) มากกว่า 25 อาจคิดง่ายๆ ด้วยการเอาส่วนสูง(ซ,ม.) ลบด้วย 100 เช่น 160(สูง) – 100 = 60 นั่นคือน้ำหนักไม่ควรเกิน 60 กิโลกรัม ถ้าน้ำหนักมากกว่า 60 ก.ก. ก็ไปหาทางลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ด้วยการงดของหวาน ลดการกินแป้ง กินผัก–ผลไม้ เยอะๆ 3. ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ให้ได้อย่างน้อย 5 วันใน 1 สัปดาห์ ในแต่ละครั้งที่ออกกำลังกายให้ทำอย่างต่อเนื่องประมาณ 30 นาที หากทำได้ตามคำแนะนำก็จะเป็นคำตอบที่ว่า “ลดไขมันพอกับทำอย่างไร” และ “กินอะไรช่วยลดไขมันพอกตับ”
วิธีลดไขมันพอกตับ เป็นคำแนะนำที่หากทำได้ไม่เพียงแต่จะส่งผลดีเฉพาะโรคไขมันพอกตับเท่านั้น แต่คำแนะนำในการปรับพฤติกรรมดังกล่าวจะส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมไม่ว่าจะเป็นการช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับไขมันในเลือด ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ฯลฯ อีกด้วย แต่การปรับพฤติกรรมให้เป็นไปในทางที่ดีต่อสุขภาพมักจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก อาจต้องใช้เวลาในการค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อันตรายจากไขมันพอกตับในระยะอันตรายทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งหรืออาจทำให้ “ตับแข็ง” ได้ แต่หากรู้ตัวเร็วก่อนเข้าสู่ระยะอันตรายของไขมันพอกตับก็สามารถที่จะปรับพฤติกรรมแก้ไขฟื้นฟูทำให้ตับกลับมาทำหน้าที่ของตับได้ใกล้เคียงกับสภาวะปกติ